แพ็คเกจที่เกี่ยวข้อง
ไม่พบข้อมูล
05 มีนาคม 2567
โรคในหน้าร้อนไทย ตอนที่ 4: โรคบิด
โรคบิดเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญ โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อนในประเทศไทย โรคนี้มีลักษณะท้องร่วงรุนแรง มักมีเลือดหรือมูกปนเปื้อน เกิดการติดเชื้อที่ลำไส้ ทำให้เกิดอาการไม่สบายและสูญเสียน้ำ ในปี 2022 ประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยโรคบิด 1,572 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต
โรคบิดเกิดจากเชื้อก่อโรค 2 ชนิดหลัก คือ แบคทีเรีย (Shigella) และอะมีบา (Ameba) เชื้อชิเกลลาพบได้บ่อยกว่าและทำให้เกิดโรคบิดชนิดไม่มีตัว ส่วนอะมีบา “เอนตามีบา ฮิสโตไลติกา” (Entamoeba histolytica) ทำให้เกิดโรคบิดชนิดมีตัว เชื้อก่อโรคเหล่านี้เจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่ไม่ถูกสุขลักษณะ และสามารถแพร่กระจายได้ง่ายภายในกลุ่มที่อยู่ใกล้ชิด เช่น ครอบครัว โรงเรียน และสถานรับเลี้ยงเด็ก
โรคนี้ติดต่อได้ง่ายในช่วงที่มีอาการ เนื่องจากเชื้อโรคอยู่ในอุจจาระทุกครั้งที่ผู้ป่วยขับถ่าย ช่วงเวลานี้สามารถยาวนานถึง 2-3 สัปดาห์หลังจากเริ่มมีอาการ เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
ระยะฟักตัวของโรคบิดชนิดแบคทีเรียอยู่ระหว่าง 1 ถึง 7 วัน ทำให้มีช่วงเวลาค่อนข้างสั้นระหว่างการสัมผัสเชื้อและการเริ่มมีอาการ ส่วนโรคบิดชนิดอะมีบามีระยะฟักตัวนานกว่า อยู่ที่ 2 ถึง 4 สัปดาห์ ทำให้เป็นภัยที่ซ่อนตัวได้ดีกว่า
โรคบิดแสดงอาการได้ดังนี้
- ท้องเดินรุนแรง มักมีเลือดหรือมูกปนเปื้อน
- ปวดท้องและบิด
- ไข้และหนาวสั่น
- อ่อนเพลียและไม่สบายแบบการติดเชื้อทั่วไป
อาการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้รู้สึกไม่สบาย แต่ยังเสี่ยงต่อการสูญเสียน้ำ โดยเฉพาะในรายที่มีอาการรุนแรง
การวินิจฉัยโรคบิดอาศัยการตรวจโดยแพทย์และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจอุจจาระเพื่อหาเชื้อชิเกลลาหรืออะมีบา ช่วยระบุชนิดของโรคบิดได้ชัดเจน นำไปสู่การรักษา
การรักษาโรคบิดขึ้นอยู่กับสาเหตุ โรคบิดชนิดแบคทีเรียอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียชิเกลลา ส่วนโรคบิดชนิดอะมีบา อาจต้องใช้ยารักษาโปรโตซัวเฉพาะเพื่อกำจัดอะมีบา การดื่มน้ำทดแทนน้ำที่สูญเสียเป็นสิ่งสำคัญในทั้งสองกรณี เพื่อบรรเทาอาการขาดน้ำและป้องการภาวะแทรกซ้อน
การป้องกันโรคบิดเกี่ยวข้องกับการรักษาสุขอนามัยเหมือนกับโรคติดเชื้อทางเดินอาหารอื่นๆ ทั้งเรื่องอาหาร น้ำดื่ม และการล้างมือครับ ที่อยากจะเสริมคือ ล้างมือที่ถูกต้อง มีแค่วิธีเดียวครับ คือล้างให้สะอาด ไม่มี “ล้างนิดหน่อย” “ล้างคร่าวๆ “
การให้ความรู้แก่ชุมชน โดยเฉพาะในโรงเรียนและสถานรับเลี้ยงเด็ก เกี่ยวกับการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล วิธีการล้างมือที่ถูกวิธี การเลือกบริโภคอาหารและน้ำที่สะอาด รวมถึงการกำจัดอุจจาระอย่างถูกสุขลักษณะ
ปรับปรุงระบบสุขาภิบาล ในชุมชน โดยเฉพาะการจัดการกับระบบบำบัดน้ำเสีย และการกำจัดขยะอย่างถูกวิธี เพื่อลดแหล่งเพาะกายของเชื้อโรค นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ หลีกเลี่ยงอาหารที่เสี่ยงการปนเปื้อน และหมั่นสังเกตอาการผิดปกติ ทำไมหมอต้องพูดเรื่องชุมชน เพราะเป็นโรคติดต่อในชุมชนน่ะครับ
บทความโดย