ความร้ายกาจของโรค Amyotrophic Lateral Sclerosis ที่กระทบต่อผู้ป่วยและครอบครัว

05 มีนาคม 2567

นายแพทย์ ศาสตรา ทัพศาสตร์

          การจากไปอย่างไม่มีวันกลับของนักแสดงผู้เป็นที่รัก Amyotrophic Lateral Sclerosis (ALS) ได้สร้างความโศกเศร้าให้กับผู้คนทั่วโลก เขาไม่เพียงแค่มีชื่อเสียงในฐานะนักแสดงที่มีผลงานเด่นๆ มากมาย แต่ยังเป็นที่รักในฐานะพ่อ สามี และเพื่อนผู้เปี่ยมด้วยความรักและความเสียสละ การจากไปของเขาสร้างความสูญเสียและความรู้สึกหนักอึ้งที่ยากจะลืม
 เมื่อลองมองให้ลึกไปอีก ความร้ายกาจของโรค ALS ที่กระทบต่อผู้ป่วยและครอบครัว ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และปลายทางที่โศกเศร้า หมอคิดว่าจำเป็นที่จะต้องแบ่งปันเรื่องราวของ ALS ให้คุณผู้อ่านได้รู้จัก เล่าถึงความยากที่ผู้ป่วยต้องเผชิญ และความอดทนของพวกเขารวมถึงคนที่พวกเขารัก เพื่อแสดงความเคารพต่อความเข้มแข็งของผู้ป่วยและครอบครัวตลอดการต่อสู้กับโรคนี้จนถึงวันสุดท้าย
 
พบน้อย แต่มากด้วยผลกระทบ
 
 โรค Amyotrophic Lateral Sclerosis (ALS) หรือที่รู้จักกันในชื่อโรค Lou Gehrig's disease (ชื่อของนักกีฬาเบสบอลทีมดัง ผู้ถูกบังคับให้ออกจากวงการหลังจากเป็นโรคนี้ในปี 1939) ALS เป็นโรคระบบประสาทเสื่อมที่ส่งผลต่อเซลล์ประสาทสั่งการ (motor neuron) ในสมองและไขสันหลัง ส่งผลให้สูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้ออย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่ได้ส่งผลกระทบกับการรับรู้ (เช่น การมองเห็น การได้ยิน) และสติปัญญา เป็นโรคที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเคลื่อนไหวและอาจลุกลามจนเป็นอัมพาตได้ ในทางระบาดวิทยา โรค ALS จัดเป็นโรคที่พบได้น้อย มีอัตราการเกิดประมาณ 2 คนต่อประชากร 100000 คนต่อปี แม้จะเป็นโรคที่พบได้น้อย แต่ ALS ส่งผลกระทบอย่างมากต่อทั้งผู้ป่วย ครอบครัว และผู้ดูแล เนื่องจากอาการที่รุนแรงและลุกลามอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีทางรักษาให้หายขาด
 
 สาเหตุของโรค ALS ยังคงเป็นปริศนาที่ยังไม่สามารถตอบคำถามที่จำเป็นได้ทั้งหมด โดยส่วนใหญ่ของผู้ป่วย (ประมาณ 90-95%) ไม่ได้มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้มาก่อน และไม่สามารถระบุสาเหตุที่ชัดเจน ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 5-10% เป็นผู้ป่วยรับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยมีการพบความผิดปกติของยีนบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับโรค ALS ยีนที่ผิดปกติเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อร่างกายในรูปแบบต่างๆ เช่น ทำให้เกิดการสะสมของโปรตีนที่เป็นพิษ รบกวนกระบวนการทำงานของเซลล์ หรือส่งผลต่อความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองของเซลล์ประสาท
 
 นอกเหนือจากปัจจัยทางพันธุกรรมแล้ว นักวิจัยยังคงศึกษาปัจจัยแวดล้อมที่อาจส่งผลต่อการเกิดโรค ALS แบบไม่ใช่พันธุกรรม ได้แก่ การได้รับสารเคมีหรือโลหะบางชนิด ปัจจัยทางโภชนาการ หรือแม้กระทั่งการออกกำลังกายอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนเพียงพอที่จะบอกได้ว่าปัจจัยแวดล้อมเหล่านี้เป็นสาเหตุโดยตรงของโรค ALS
 
 ความสัมพันธ์ระหว่างพันธุกรรมและสภาพแวดล้อมชี้ให้เห็นว่า โรค ALS น่าจะมีสาเหตุหลายปัจจัยร่วมกัน (multifactorial etiology) โดยปัจจัยต่างๆ เหล่านี้อาจส่งผลต่อความเสี่ยงและการเริ่มต้นของโรค ซึ่งความซับซ้อนนี้เป็นอุปสรรคสำคัญในการทำความเข้าใจโรค ALS ทำให้ยากที่จะคาดการณ์ว่าใครจะป่วยเป็นโรคนี้และด้วยเหตุผลใด นอกจากนี้ยังส่งผลต่อความพยายามในการค้นหายารักษาที่มีประสิทธิภาพและวิธีการป้องกันโรค
 
 การวิจัยเพื่อไขปริศนาของโรค ALS ยังคงดำเนินต่อไป โดยความเข้าใจในด้านระบาดวิทยาและสาเหตุของโรคถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการพัฒนาแนวทางการรักษาที่ตรงจุดและช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ดีขึ้น
 
เข้าใจโรค ALS: เส้นทางแห่งการสนับสนุนและดูแล
 
 การเดินทางร่วมกับโรค Amyotrophic Lateral Sclerosis (ALS) เป็นเส้นทางที่ยากสำหรับทั้งผู้ป่วยและครอบครัว ต้องอาศัยทั้งการแพทย์และการดูแลด้วยความเห็นอกเห็นใจ ในทุกระยะของโรค
 
ระยะแรก: การปรับตัวเบื้องต้น
 
 ในระยะแรกของ ALS อาการต่างๆ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง และมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก (fine motor skills) เริ่มปรากฏ ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่ากิจวัตรประจำวันทำได้ยากขึ้น เช่น ติดกระดุมไม่ได้ จับช้อนไม่อยู่ ในระยะนี้ การรักษาจะมุ่งเน้นไปที่การรักษาความคล่องตัวและความเป็นอิสระให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ กายภาพบำบัดมุ่งเน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ส่วนกิจกรรมบำบัดจะแนะนำเครื่องมือช่วยเหลือเพื่อให้การทำกิจวัตรประจำวันง่ายขึ้น นอกจากนี้ อาจเริ่มมีการบำบัดการพูดตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อแก้ไขปัญหาการพูดหรือกลืนที่อาจเกิดขึ้น
 
 ไม่ได้หยุดอยู่แค่การแพทย์เท่านั้น การให้การสนับสนุนด้านอารมณ์และจิตใจถือเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการวินิจฉัยโรคนี้จะสร้างความกดดันและวิตกกังวล ทั้งผู้ป่วยและครอบครัวอาจได้ประโยชน์จากการปรึกษาจิตแพทย์หรือกิจกรรมกลุ่มบำบัด ซึ่งเป็นที่ที่พวกเขาสามารถแบ่งปันประสบการณ์และวิธีรับมือกับผลกระทบเบื้องต้นของโรค
 
ระยะกลาง: ต้องการการช่วยเหลือเพิ่มขึ้นอีก
 
 เมื่อ ALS ลุกลาม อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงจะรุนแรงมากขึ้น ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวมากขึ้น ผู้ป่วยอาจเริ่มใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น วอล์คเกอร์หรือรถเข็น อาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเรื่องที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับและเพื่อความปลอดภัย
 
 ระยะนี้ ทีมรักษาจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยแนะนำในการช่วยเหลือด้านร่างกาย จิตใจ และศักดิ์ศรีของผู้ป่วย นักโภชนาการช่วยดูเรื่องอาหารเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยได้รับสารอาหารเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีปัญหากลืน
 
 ทีมรักษามีหน้าที่ทำงานร่วมกับผู้ป่วยและครอบครัวอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับแผนการดูแลให้เหมาะสมกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ป่วย การประเมินอย่างสม่ำเสมอช่วยในการจัดการอาการและรักษาคุณภาพชีวิตให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
 
ระยะสุดท้าย: เน้นความสุขสบายและคุณภาพชีวิต
 
 ในระยะสุดท้ายของ ALS การดูแลจะเน้นไปที่การสร้างความสุขสบายและคุณภาพชีวิต การเคลื่อนไหวและการสื่อสารอาจลดลงอย่างมาก และผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ทีมรักษาจัดการอาการ ดูแลด้านอารมณ์ และอำนวยความสะดวกในการพูดคุยเกี่ยวกับความต้องการในการดูแลรักษาในช่วงเวลาสุดท้ายนี้
 
 การวินิจฉัยโรค ALS ได้เร็ว และ การช่วยเหลือดูแลที่แข็งแกร่งและครอบคลุมเป็นหัวใจสำคัญในการจัดการโรค ทีมสหเวช และการดูแลจากครอบครัว ชุมชน ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและยังคงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การรู้จักสัญญาณเตือนเบื้องต้นของโรค และ การปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ ส่งผลดีต่อการรักษา หมออยากให้คุณผู้อ่านใส่ใจอาการของตัวเอง ปรึกษาคุณหมอที่ดูแลเมื่อมีข้อสงสัย เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมครับ
 

บทความโดย

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม
นพ. ศาสตรา ทัพศาสตร์
ความชำนาญ : แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาศัลยศาสตร์ทั่วไป