Heat Stroke เจอแดดอย่าประมาท เพราะอาจคร่าชีวิตคุณ
13 พฤษภาคม 2563
ในปัจุบันนี้อุณหภูมิโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากภาวะโลกร้อน (Global warming) สำหรับประเทศไทยนั้นก็เผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดเช่นกัน
โรคลมแดด เป็นภัยใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม เพราะโรคลมแดดเกิดจากการที่ร่างกายอยู่ในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูง และได้รับความร้อนมากเกินไป ทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติของสมองส่วนการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย เป็นเหตุให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส
ในภาวะปกติเมื่อความร้อนในร่างกายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายจะมีขบวนการกำจัดความร้อนออกจากร่างกาย โดยการสร้างเหงื่อ เพราะร่างกายต้องปรับอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอยู่เสมอ คือ ระหว่าง 36.5 – 37 องศาเซลเซียส แต่เมื่อใดก็ตามหากร่างกายเสียสมดุล จนไม่สามารถปรับตัวกับความร้อนที่เกิดขึ้น จะทำให้เกิดโรคลมแดดได้ทันที
โรคลมแดด มีความรุนแรงหลายระดับ และมีอาการแสดงตั้งแต่
-อาการบวมหรือผื่นขึ้น
-เป็นตะคริว
-อ่อนเพลีย
-หรือแม้กระทั่งเป็นลมหมดสติ ซึ่งแนวทางการรักษาและความเร่งด่วนก็จะแตกต่างกันไป
อาการของโรคลมแดด
สำหรับสัญญาณเตือนที่สำคัญของโรคลมแดด ได้แก่
- เป็นตะคริว
- หน้าแดง ตัวร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
- รู้สึกกระหายน้ำมาก วิงเวียน ปวดศีรษะ
- หน้ามืด
- คลื่นไส้ หายใจเร็ว อาเจียน
- มึนงง สับสน
- ไม่มีเหงื่อออก แม้จะอากาศร้อน
- รูม่านตาขยาย ความรู้สึกตัวลดน้อยลง อาจหมดสติ หรือมีอาการชักเกร็ง
หากอาการเหล่าเกิดขึ้นแล้วไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องและทันเวลา อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นจนถึงแก่ชีวิตได้
ซึ่งโรคลมแดดแตก ต่างจากอาการเพลียแดดทั่ว ๆ ไปที่จะมีเหงื่อออกด้วย ถ้าหากมีอาการรุนแรง ถึงขั้นหมดสติ ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลทันที อย่าปล่อยให้อุณหภูมิร่างกายสูงอยู่นาน เพราะอาจมีผลกระทบต่ออวัยวะทุกส่วน และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น
-หัวใจเต้นเร็ว
-ความดันเลือดต่ำ
-เลือดออกใต้เยื่อบุหัวใจ
-ปอดบวมน้ำ
-ปอดอักเสบ
-การหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน
-ไตวายเฉียบพลัน
-ชัก
-ตับวาย
บุคคลที่มีความเสี่ยงต่อการเกิด “โรคลมแดด” ได้แก่
- ผู้สูงอายุ
- เด็ก
- ผู้ที่อดนอน
- ผู้ที่ดื่มเหล้าจัด
- ผู้ที่ทำงานในสภาพอากาศที่ร้อนชื้น
- ผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคความดัน-โลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอ้วน
- นักกีฬา และทหารที่เข้ารับการฝึก โดยไม่มีการเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมที่จะเผชิญกับสภาพอากาศร้อนจัด
แนวทางการรักษาเบื้องต้น
ผู้ป่วยโรคลมแดดควรได้รับการรักษาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ "โดยเป้าหมายของการรักษาคือ การลดอุณหภูมิภายในร่างกายของผู้ป่วย”
การรักษาเบื้องต้นเมื่อพบผู้ที่สงสัยว่าเป็นโรคลมแดดคือ พาออกจากบริเวณที่มีอากาศร้อน ให้ไปอยู่บริเวณที่ร่มกว่า จากนั้นให้ลดอุณหภูมิร่างกายผู้ป่วย ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี โดยให้ถอดเสื้อผ้าเดิมออก ยกขาสูง พรมน้ำทั่วๆร่างกาย และ ให้มีลมพัดผ่านตัวตลอดเวลา เพื่อช่วยพาความร้อนออกไป ประคบผ้าเย็นทั่ว ๆ ตัว หรือน้ำแข็งบริเวณซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ และรีบขอความช่วยเหลือ หรือโทรเรียกรถพยาบาล
การป้องกันเกิดโรคลมแดด
- ควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดที่ร้อนจัดเป็นเวลานาน ๆ เพราะจะทำให้เกิดความร้อนในร่างกายสะสม และอย่าใช้พลังงานมากจนเกินไป ไม่เช่นนั้นจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ และพยายามอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ ดังนั้นควรดื่มน้ำ 2 ลิตร ต่อวัน หรือ ประมาณอย่างน้อย 8 แก้ว ต่อวัน
- หากร้อนมากควรพยายามลดความร้อน โดยการอาบน้ำ หรือ เป่าพัดลม เปิดแอร์ หากจำเป็นต้องทำงานกลางแจ้งควรสวมหมวก อุปกรณ์ป้องกันแดด
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากเพิ่มการขับน้ำทางปัสสาวะ อาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่มากขึ้น
- สวมใส่เสื้อผ้าที่เบาบางและไม่รัดแน่นจนเกินไป ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายมีอุณหภูมิที่เย็นอย่างเหมาะสม
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่มีแดดจัด รวมถึงการนั่งในรถยนต์ที่จอดไว้ถึงแม้จะเปิดกระจกทิ้งไว้หรือจอดรถยนต์ไว้ในที่ร่มก็ตาม เพราะอุณหภูมิในรถยนต์สามารถร้อนจัดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม