แพ็คเกจที่เกี่ยวข้อง
เด็กจมน้ำ ภัยร้ายช่วงปิดเทอม
13 พฤษภาคม 2563
ในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนของทุกๆปี (มีนาคม-พฤษภาคม) จะพบมีเด็กจมน้ำเสียชีวิตสูงถึง 400 – 500 คน จากข้อมูลการเสียชีวิตของสํานักนโยบายและยุทธศาสตร์กระทรวงสาธารณสุขในช่วง 12 ปี ที่ผ่านมา พบว่ามีเด็กจมน้ําเสียชีวิตสูงถึง 5,298 คน (ผลสำรวจข้อมูลของสำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค)
โดยปกติจะพบเด็กจมน้ำมากในช่วงวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ และสำหรับช่วงปิดเทอมมักพบเด็กจมน้ำมากในช่วงเวลา 12.00 น. – 18.00 น. เพราะเป็นช่วงที่มีอากาศร้อน
แหล่งน้ำที่พบเด็กจมน้ำมากที่สุดคือ
-แหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อการเกษตร
-รองลงมาคือ คู
-คลองระบายน้ำข้างบ้าน
ซึ่งสาเหตุของการจมน้ำส่วนใหญ่พบว่า
-เกิดจากการเล่นน้ำ มากที่สุดถึงร้อยละ 57
-รองลงมาคือ การปล่อยเด็กเล่นน้ำเพียงลําพัง และโดยส่วนมากจะไม่สามารถช่วยเหลือได้ทันเนื่องจากเด็กเสียชีวิตแล้ว
ในกรณีที่ผู้พบเห็นเหตุการณ์ และญาติให้การช่วยเหลือโดยการปฐมพยาบาลพบว่า
เป็นการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องเพียงร้อยละ 15.2 นอกจากนั้นเป็นการช่วยเหลือด้วยการจับเด็กอุ้มพาดบ่ากระโดด ,กระแทก หรือเขย่าเพื่อเอาน้ำออก ซึ่งเป็นวิธีการปฐมพยาบาลที่ผิด เพราะความพยายามที่จะเอาน้ำออกไม่มีความจำเป็นและอาจก่อให้เกิดผลเสียได้เพราะเด็กจะอาเจียนและอาจทำให้สำลัก อีกทั้งทำให้การช่วยชีวิตเด็กช้าลงอีกด้วย
สำหรับวิธีช่วยเหลือเด็กจมน้ำที่ถูกวิธี มีดังนี้
-เมื่อช่วยเด็กขึ้นมาจากน้ำ และเด็กไม่หายใจ ควรเป่าปากทันทีเพื่อช่วยหายใจ
-และหากไม่แน่ใจว่ามีชีพจรหรือไม่ ให้ใช้วิธีนวดหัวใจโดยกดหน้าอกให้ยุบลงไปประมาณ 1 ใน 3 ของความหนาของหน้าอก ความเร็วอย่างน้อย 100 ครั้ง/นาที
-สลับกับการเป่าปากในอัตราส่วน 30:2 หรือจำง่ายๆ คือ เป่าปาก 2 ครั้ง และปั๊ม 30 ครั้ง ทำอย่างต่อเนื่องจนกว่าเด็กจะรู้สึกตัว หรือจนกว่าจะมีทีมแพทย์มาช่วยเหลือ
ดังนั้นการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน (CPR) อย่างถูกวิธีจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยรอดชีวิต และลดการบาดเจ็บจากการจมน้ำ
เนื่องจากสมองคนเราถ้าขาดออกซิเจนไปเลี้ยงเกิน 4 นาที จะมีผลทำให้เกิดการสูญเสียของเซลล์สมองบางส่วนไปได้อย่างถาวร แม้หัวใจจะสามารถกลับมาเต้นใหม่ได้ในภายหลัง แต่สมองส่วนที่เสียไปแล้วจะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถฟื้นคืนสติกลับมาได้สมบูรณ์ดังเดิม ดังนั้นการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน หรือที่เรียกว่า “CPR” จึงถือเป็นหนึ่งวิธีการที่จะยื้อชีวิตของผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นกระทันหันได้เป็นอย่างดี
การป้องกันการจมน้ำของเด็ก เราสามารถทําได้ง่ายๆ ดังนี้
- จัดการแหล่งน้ำเสี่ยงเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่เด็ก เช่น ปักป้ายเตือน และบอกถึงระดับความลึกของน้ำ
- ติดตั้งอุปกรณ์ช่วยคนตกน้ำ ไว้บริเวณแหล่งน้ำ เช่น ถังแกลลอนพลาสติก นกหวีด ไม้ยาว เสื้อชูชีพ เป็นต้น
- สอนให้เด็กรู้จักแหล่งน้ำเสี่ยง เช่น สระน้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง เป็นต้น
- ให้ความรู้กับผู้ปกครอง และเด็กในการช่วยเหลือคนตกน้ำ หรือจมน้ำ โดยเน้นหลัก “ตะโกน โยน ยื่น” เพื่อให้เด็กตะโกนขอความช่วยเหลือเมื่อตกอยู่ในอันตราย หรือมีเพื่อนจมน้ำ
อย่างไรก็ตามการป้องกันไม่ให้เด็กจมน้ำเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “อย่าปล่อยให้เด็กไปเล่นน้ำกันเองตามลำพัง" ยิ่งเป็นเด็กเล็ก ยิ่งต้องอยู่ในระยะที่มือเอื้อมหรือคว้าถึง และหากเกิดเหตุการณ์จมน้ำ ผู้พบเห็นควรมีสติ และปฏิบัติตามหลัก “ตะโกน โยน ยื่น” โดยไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในสังคม
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม