แพ็คเกจที่เกี่ยวข้อง
ไม่พบข้อมูล
12 พฤษภาคม 2563
การรักษาภูมิแพ้ ด้วยวัคซีนภูมิแพ้ ( Allergen Immunotherapy) คือ การใช้วัคซีนที่เตรียมจากสารก่อภูมิแพ้ที่ผู้ป่วยแพ้ มากระตุ้นให้ร่างกายของผู้ป่วยสร้างภูมิต้านทานต่อสิ่งที่แพ้ขึ้น
โรคที่รักษาได้ด้วยวัคซีนภูมิแพ้
โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ ( Allergic Rhinitis)
โรคหืดจากภูมิแพ้ ( Allergic Asthma)
โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ( Atopic dermatitis)
แพทย์เฉพาะทางด้านภูมิแพ้จะเป็นผู้ประเมินว่า ผู้ป่วยสมควรเข้ารับการฉีดวัคซีนภูมิแพ้หรือไม่
วิธีการฉีดวัคซีนภูมิแพ้
จะแบ่งเป็น 2 ระยะ
ระยะปรับเพิ่มขนาด ในระยะ 5 – 6 เดือนแรก จะฉีดสัปดาห์ละครั้ง โดยฉีดที่แขนสลับข้างกันและค่อยๆ เพิ่มปริมาณของวัคซีนทีละน้อย จนได้ขนาดสูงสุดเท่าที่ผู้ป่วยจะรับได้ แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มระยะห่างของการฉีดวัคซีนออกไปเป็นทุกๆ 2 และ 3 สัปดาห์ จนถึงฉีดเพียงเดือนละครั้ง
ระยะคงที่ จะฉีดวัคซีนภูมิแพ้เพียงเดือนละครั้ง เพื่อกระตุ้นให้ภูมิต้านทานที่ร่างกายสร้างขึ้นคงอยู่ต่อเนื่อง ควรฉีดเดือนละครั้งไปนาน 3 – 5 ปี
** แนะนำให้ฉีดต่อเนื่องทุก 4 สัปดาห์ นาน 3-5 ปี เพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุด
ข้อดีของการฉีดวัคซีนภูมิแพ้
เป็นการรักษาที่ตรงจุดคือ แก้ไขที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
หากตอบสนองต่อวัคซีนและฉีดอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้อาการภูมิแพ้ดีขึ้น (3-6 เดือน)
ลดการใช้ยา
ลดการเกิดโรคหืดในรายที่เป็นโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้
ลดการแพ้สารอื่น ๆ เพิ่ม ในอนาคต
หากฉีดนาน 3-5 ปี มีข้อมูลว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการภูมิแพ้ไปได้อีกหลายปี
ผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีนภูมิแพ้
อาการแบบเฉพาะที่ เช่น บวม แดง บริเวณที่ฉีด ซึ่งจะดีขึ้นได้เอง
อาจทำให้เกิดอาการแพ้ทั่วร่างกายเกิดได้น้อยกว่า 1% เช่น ลมพิษ ปวดท้อง อาเจียน หายใจลำบาก ดังนั้นทุกครั้งที่ฉีด แพทย์จะสังเกตอาการอย่างน้อย 30 นาที ก่อนกลับบ้าน
อาจเกิดอาการของโรคภูมิแพ้ที่ผู้ป่วยเป็นอยู่แล้วมากขึ้นในช่วงแรก เช่น คัน จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล
ข้อปฏิบัติที่สำคัญหลังการฉีดวัคซีน
ต้องสังเกตอาการใน รพ. ทุกครั้ง อย่างน้อย 30 นาที
ห้ามออกกำลังกาย หรือทำงานหนัก เช่น เล่นกีฬา ฯลฯ หลังฉีดวัคซีนอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
หลังฉีด 24 ชั่วโมง ให้สังเกตอาการบวม หรือผื่นแดงบริเวณที่ฉีด ควรรายงานแพทย์ก่อนฉีดวัคซีนครั้งถัดไป เพื่อปรับขนาดวัคซีนให้พอเหมาะ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
บทความโดย