แพ็คเกจที่เกี่ยวข้อง
ไม่พบข้อมูล
20 เมษายน 2566
ผู้ป่วยที่มีภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชาย สังเกตง่ายๆ มักมีอาการ ดังนี้
ร้อนวูบวาบ
อารมณ์แปรปรวน
หงุดหงิดง่าย
ไม่กระฉับกระเฉง
เฉื่อยชา
มีภาวะนอนไม่หลับ
อาการซึมเศร้า
มักพบว่ามีความต้องการทางเพศลดลง ส่วนทางด้านร่างกายนั้นมักพบว่ามีอาการอวัยวะเพศไม่แข็งตัวหรือแข็งตัวได้ไม่เต็มที่ และอาจพบว่าผมหรือขนตามร่างกายร่วง อ้วนลงพุงและกล้ามเนื้อลีบเล็กลงได้เช่นกัน
นอกจากอาการผิดปกติดังที่กล่าวไปแล้ว ภาวะพร่องฮอร์โมนยังสัมพันธ์กับการเกิดโรคอื่นๆ ตามมาอีกด้วย เช่น ภาวะอ้วนลงพุง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง เป็นต้น
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชายเป็นโรคที่พบได้มากขึ้นในชายสูงอายุ และส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก ดังนั้นการตรวจคัดกรองภาวะดังกล่าวในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงจึงมีความจำเป็น เนื่องจากสามารถทำให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งจะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี
ในปัจจุบันการตรวจคัดกรองภาวะพร่องฮอร์โมน จะเริ่มจากการใช้แบบสอบถามเพื่อตรวจหาอาการที่เสี่ยงต่อภาวะดังกล่าว ซึ่งผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงจะถูกส่งต่อไปตรวจระดับฮอร์โมนเพศชาย และตรวจระดับสารเคมีอื่นๆ ในเลือดที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยผู้ป่วยที่มีระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำว่า 350 ng/dL จะถือว่ามีภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชาย และจำเป็นจะต้องได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทนต่อไป
นอกจากผู้ป่วยที่มีอาการเข้าได้กับภาวะพร่องฮอร์โมนแล้วก็ยังมีผู้ป่วยบางกลุ่มที่ควรได้รับการตรวจระดับฮอร์โมนเพศชายแม้ว่าจะไม่มีอาการผิดปกติ เช่น
ผู้ป่วยที่อ้วนลงพุง (เส้นรอบเอวมากกว่า 36 นิ้ว)
ผู้ป่วยโรคเมตาโบลิคซินโดรม (เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง)
ผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ป่วยที่ใช้ยานอนหลับติดต่อกับเป็นเวลานาน เป็นต้น
สำหรับการรักษาภาวะอ้วนลงพุงประกอบไปด้วย 2 วิธีการหลักได้แก่
การปรับการพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน โดยการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น ลดน้ำหนัก ควบคุมแคลอรี่อาหาร และงดการสูบบุหรี่ ซึ่งพบว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาโรคเมตาโบลิคต่างๆ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาด้วยฮอร์โมนเสริมด้วย
การใช้ฮอร์โมนเพศชายเสริม ซึ่งมีหลักการสำคัญ คือ ต้องเป็นยาที่มีความปลอดภัย ออกฤทธิ์สั้น บริหารยาเองได้ง่าย และมีการติดตามระดับฮอร์โมนอย่างใกล้ชิด โดยจุดมุ่งหมายของการให้ฮอร์โมนเสริมก็คือทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนขึ้นมาอยู่ในระดับปกติ (450-600 ng/dL) และช่วยบรรเทาอาการผิดปกติต่างๆที่เกิดจากการพร่องฮอร์โมน
"จะเห็นได้ว่าการคัดกรองและให้การรักษาภาวะพร่องฮอร์โมนในชายวัยทองอย่างเหมาะสมนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการสร้างเสริมสุขภาพ และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ดังนั้นผู้ชายทุกคนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป จึงควรที่จะทำความเข้าใจกับภาวะดังกล่าว และคอยสังเกตอาการของตัวเองอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้เข้ารับการตรวจคัดกรองได้อย่างทันท่วงที"
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : M Club
สอบถามเพิ่มเติม / นัดหมายพบแพทย์
(ดูแลโดยทีมแพทย์ และพยาบาลผู้ชาย)