การดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อลดการเกิดภูมิแพ้ตั้งแต่ในครรภ์
20 เมษายน 2566
การดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อลดการเกิดภูมิแพ้ตั้งแต่ในครรภ์
การสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ และมลภาวะจะเพิ่มความเสี่ยง ในการถูกกระตุ้นให้เป็นโรคภูมิแพ้ และโรคหืด ในกลุ่มมารดาตั้งครรภ์ และเด็กที่มีความเสี่ยง จะเป็นภูมิแพ้ จึงควรปฏิบัติ ดังนี้
-
หลีกเลี่ยงการสัมผัสควันบุหรี่ทั้งในขณะตั้งครรภ์และหลังคลอด
การที่ทารกสัมผัสบุหรี่ ตั้งแต่ในครรภ์ส่งผลกระทบ ต่อการพัฒนาของปอด และการสัมผัสควันบุหรี่ ทั้งขณะตั้งครรภ์ และหลังคลอดไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่โดยตรง จากมารดา หรือการสัมผัสควันบุหรี่จากคนอื่น ๆ ในบ้าน เพิ่มความเสี่ยงที่ทำให้หอบ หายใจวี้ด และเกิดโรคหืดในเด็ก ได้ถึง 20-80%
คำแนะนำ
- หญิงตั้งครรภ์และเด็กเล็กควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีควันบุหรี่
-
มลภาวะ Pollution
มลภาวะนอกบ้าน (Outdoor Pollution) การอยู่ในสภาพแวดล้อม ที่มลภาวะนอกบ้านสูง เช่น บ้านอยู่ติดถนน เพิ่มความเสี่ยง ที่ทำให้เกิดโรคหืด และหญิงตั้งครรภ์สัมผัสมลภาวะเหล่านี้ เช่น NO2, SO2, PM10 จะส่งผลให้บุตร เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหืด โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ในเด็ก
คำแนะนำ
-
หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมนอกบ้าน ปิดประตูหน้าต่าง หากคุณภาพอากาศภายนอกบ้านเกินเกณฑ์มาตรฐาน
-
ลดการก่อมลภาวะในบ้าน หรืออาจใช้เครื่องฟอกอากาศหากในบ้านมีความเสี่ยง
-
สารก่อภูมิแพ้-ไรฝุ่น
ไรฝุ่น เป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ ทำให้มีอาการภูมิแพ้ทางจมูก และหอบหืด จากงานวิจัยศึกษาติดตาม ไปข้างหน้าตั้งแต่แรกเกิดที่พ่อแม่มีประวัติเป็นภูมิแพ้ (birth cohort) พบว่าในเด็กทารกอายุ 2-3 เดือน หากปริมาณไรฝุ่นในที่พักมากกว่า 10 ug/g มีอัตราการเกิดหายใจหอบวี้ด 5 เท่า และเกิดโรคหืด 3 เท่า และหากสัมผัสปริมาณไรฝุ่น มากกว่า 2 ug/g เป็นเวลานาน พบว่าเด็กเหล่านี้ทดสอบภูมิแพ้ให้ผลแพ้ไรฝุ่น
คำแนะนำ
-
ซักผ้าปู ปลอกหมอน ผ้าห่มด้วยน้ำอุณหภูมิ 60 องศา นาน 30 นาที สัปดาห์ละครั้ง
-
ใช้ผ้าคลุมที่นอน ปลอกหมอนกันไรฝุ่น
-
จัดห้องนอนให้โล่ง ไม่ควรมีพรม, ตุ๊กตา
-
ดูดฝุ่น สม่ำเสมอ
-
สามารถตรวจวัดปริมาณไรฝุ่นได้เพื่อให้ทราบระดับไรฝุ่น
-
สัตว์เลี้ยง
ในปัจจุบัน ข้อมูลของการเลี้ยงสัตว์ ส่งผลอย่างไรต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ และโรคหืดหรือไม่นั้น ยังเป็นที่ถกเถียงกัน บางงานวิจัยพบว่า การมีสัตว์เลี้ยงลดอัตราการเกิดโรคหืด และอัตราการเกิดภูมิแพ้ ในขณะที่บางรายงานพบว่า การหลีกเลี่ยงสัตว์เลี้ยงนั้น ลดการเกิดโรคภูมิแพ้และหอบหืด มีงานวิจัยในปี2002 พบว่าความสัมพันธ์ของอัตราการแพ้ขนสัตว์ (แมว) กับการเลี้ยงสัตว์นั้นมีความสัมพันธ์แบบระฆังคว่ำ คือ อัตราแพ้จะน้อย ในกล่มที่ไม่เลี้ยงและในกลุ่มที่เลี้ยงปริมาณมาก มีงานวิจัยติดตามทารกตั้งแต่แรกเกิด 835 คน ใน Detroit, USA ในครอบครัวที่เลี้ยงสุนัขหรือแมว ≥ 2 ตัว ลดอัดอัตราการเกิดภูมิแพ้เมื่อเทียบกับครอบครัวที่ไม่เลี้ยง ทั้งนี้มาจากสมมติฐาน Hygiene hypothesis เป็นเพราะการสัมผัสจุลินทรีย์ที่ไม่ก่อโรคจากสัตว์ การสัมผัส endotoxin จากสัตว์เลี้ยงไปกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ให้เป็นภูมิคุ้มกันปกติที่ไม่เกิดภูมิแพ้
คำแนะนำ
-
หากได้รับการวินิจฉัยว่าแพ้สัตว์เลี้ยงแล้ว ควรหลีกเลี่ยง
-
ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการเลี้ยงสัตว์ช่วยป้องกันการเกิดภูมิแพ้หรือไม่
-
หากที่บ้านเลี้ยงสัตว์ไม่มีความจำเป็นต้องเลิกเลี้ยงเพื่อหวังผลในการป้องกันภูมิแพ้
-
หากยังไม่ได้เลี้ยงสัตว์ ไม่มีความจำเป็นต้องนำสัตว์มาเลี้ยงเพื่อหวังผลในการป้องกันภูมิแพ้
Reference
-
Global Strategy for Asthma Management and Prevention (2019), 153-157
-
Burke et al. Prenatal and Passive smoke exposure and Incidence of Asthma and Wheeze: Systematic Review and Meta-analysis. Pediarics. 2012;129(4)735-744
-
Celedon et al. Exposure to dust mite allergen and endotoxin in early life and asthma and atopy in childhood. J Allergy Clin Immunology. 2007; 120(1): 144-149
-
Platts-Mills TA et al. Relevance of early or current pet ownership to the prevalence of allergic disease. Clin Exp Allergy. 2002; 32(8):1259
-
Dennis RO et al. Exposure to Dogs and Cats in the First Year of Life and Risk of Allergic Sensitization at 6-7 years of age. JAMA.2002;288(8)
-
Position statement: Allergy prevention in children, ASCIA
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : สถาบันโรคภูมิแพ้สมิติเวช รพ.สมิติเวชธนบุรี
โทร. 02-408-0111
สอบถามเพิ่มเติม / นัดหมายพบแพทย์
บทความโดย